อาการทั่วไปของการป่วยจากอาหารเป็นพิษ
อาการของการป่วยจากการบริโภคอาหารที่เป็นพิษมีความแตกต่างไปตามชนิดของสารพิษและเชื้อสายที่เป็นต้นตอ. อาการที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหรือเกิดอาการทันทีต่อจากการบริโภคอาหาร. บางครั้ง, อาการอาจเริ่มต้นเล็กน้อยแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่เชื้อสายหรือสารพิษทำลายร่างกาย.
ในกรณีที่มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น, ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม. การรักษาอาจประกอบไปด้วยการให้น้ำทางเดินหลอดอาหาร, การให้ยาต้านการอักเสบ, หรือการให้ยาปฏิชิวนะต้านจุลชีพ, ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการป่วย.
หลังจากการพบแพทย์แล้ว การบำรุงลำไส้หลังอาหารที่เป็นพิษมีความสำคัญเช่นกัน ในการรักษาสุขภาพทั้งระบบทางเดินอาหารและลำไส้ของร่างกาย. การบริโภคผักและผลไม้ที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มปริมาณใยอาหาร (fiber) ที่ช่วยสร้างลำไส้ให้ดีและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้.
ผักและผลไม้มีส่วนทำให้มีผลต่อการบำรุงลำไส้หลัง หลัง อาหารเป็นพิษได้, ดังต่อไปนี้:
ต้น มีใยอาหารมากที่ช่วยเพิ่มปริมาณของมูลฝอยในลำไส้และส่งผลให้ลำไส้ทำงานได้ดี. เช่น ผักกาดขาว,ผักบุ้ง, ผักกาดแก้ว เป็น
มีกากใยที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และทำให้ร่างกายสดชื่น. เช่น แอปเปิ้ล กล้วย สตรอเบอรี่ และ ทับทิม เป็นต้น
การรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยใยอาหารและสารอาหารที่ดีต่อลำไส้, ร่วมกับการดื่มน้ำเพียงพอ, สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงลำไส้หลังทานอาหารที่เป็นพิษ. อย่าลืมที่จะรักษาพฤติกรรมทางอาหารที่เป็นประโยชน์, เช่น การลดการบริโภคอาหารที่มีมันและน้ำตาลในปริมาณมาก, เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและลำไส้.
การป้องกันการบริโภคอาหารที่เป็นพิษนั้นสำคัญที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานความสะอาดในการปรุงอาหาร, การเก็บรักษาอาหารอย่างถูกต้อง, การทำความสะอาดอุปกรณ์ในครัว, และการเลือกซื้ออาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย จะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคได้
]]>1.วิตามิน C: ผักผลไม้เป็นแหล่งวิตามิน C ที่สำคัญ ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยลดอาการปวดเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่. วิตามิน C เป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีหลายบทบาทและประโยชน์ต่อสุขภาพ
1.1. ระบบภูมิคุ้มกัน:วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อต้านการติดเชื้อและโรคต่าง ๆ.
1.2. การสร้างคอลลาเจน: วิตามิน C เป็นสารที่สำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ, เช่น ผิว, หลอดเลือด, กระดูก, และเส้นเอ็น.
1.3. ช่วยในการดูดซึมเหล็ก:วิตามิน C ช่วยในกระบวนการดูดซึมเหล็กจากอาหารในลำไส้ ทำให้เหล็กมีประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือดแดงและลดความเหน็ดเหนื่อย.
2.ฟลาโวนอยด์(Flavonoids) มีในผักเขียวหลายชนิด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความอักเสบในร่างกาย. ฟลาโวนอยด์ เป็นกลุ่มของสารประกอบทางชีวเคมีที่พบในพืชและผลไม้ มีหน้าที่รับหน้าที่หลายประการในพืช โดยทั่วไปแล้วฟลาโวนอยด์มักมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์จากอนุมูลอิสระที่สามารถทำลายเซลล์ได้ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย.
3.แร่ธาตุมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพทั่วไปของร่างกาย การบริโภคแร่ธาตุเป็นปัจจัยที่เฉพาะเจาะจงในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ แต่การรักษาสุขภาพที่ดีทั่วไปสามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้.
3.1. ซิงค์ (Zinc) เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อ.
3.2. เซเลเนียม (Selenium) เป็นแร่ธาตุที่มีส่วนร่วมในการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ต้านอนุมูล
3.3. เหล็ก (Iron) เป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง, ซึ่งมีบทบาทในการนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ และมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน.
ผักผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง และช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย. ผักผลไม้ที่เหมาะสมในการป้องกันไข้หวัดใหญ่
ผักที่มีวิตามิน C สูง วิตามิน C มักพบในผลไม้และผักต่าง ๆ เช่น ส้ม, มะนาว, แตงโม, ผลไม้เขียว, พริก, และสตรอเบอร์รี่. การบริโภคอาหารที่มีวิตามิน C อย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพและป้องกันการเป็นโรคต่าง ๆ.
ผักผลไม้ที่มีฟลาโวนอยด์ อาหารที่มักจะมีฟลาโวนอยด์มากนั้น เป็นส่วนใหญ่คือผักและผลไม้, แอปเปิล, กล้วย, บรอโคลี, ผักกาดแก้ว, ผักกาดขาว. นอกจากนี้ยังพบในชา, กาแฟ, และอาหารที่ทำจากพืชอื่น ๆ ด้วย. การบริโภคอาหารที่รวบรวมฟลาโวนอยด์สามารถมีประโยชน์ต่อสุขภาพ, โดยเฉพาะในการลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน, โรคหลอดเลือดในสมอง, และโรคหัวใจ.
ผักและผลไม้ที่มีแร่ธาตุ
ซิงค์ (Zinc) ถั่ว, ฟักทอง, มะเขือม่วง, เห็ดต่างๆ, แตงโม, ทับทิม, มะละกอ
เซเลเนียม (Selenium) ถั่วลิสง, มะม่วง, มะปราง, กล้วย, ข้าวโพด.
ธาตุเหล็ก (Iron) สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, แครอท, บล๊อคโคลี
การบริโภคและการป้องกัน
1. การบริโภคอาหารที่หลากหลาย การบริโภคอาหารที่รวมถึงแร่ธาตุที่สำคัญทั้งสาม, รวมทั้งวิตามินและโปรตีน, จะช่วยในการปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน.
2. การเสริมด้วยเครื่องดื่มเสริม ในกรณีที่ไม่สามารถได้รับแร่ธาตุเพียงพอจากอาหาร, การบริโภคอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของซิงค์ (Zinc), เซเลเนียม (Selenium), และ เหล็ก (Iron) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน.
3. การดื่มน้ำเพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทั่วไปและส่งผลในการเผาผลาญและการทำงานของร่างกาย.
4. การรักษาสุขภาพทั่วไป: การรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย, การนอนหลับเพียงพอ, การลด และ เลิก การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์.
สำหรับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ การทำความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ, การหลีกเลี่ยงการสัมผัสตา, จมูก, และปาก, และการใส่หน้ากากอนามัยก็เป็นมาตรการที่สำคัญ. การปฏิบัติทุกวันที่เน้นบำรุงรักษาสุขภาพทั่วไปจึงมีผลต่อการป้องกันไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้ออื่น ๆ. การบริโภคผักผลไม้เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการของไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในบทความนี้ได้กล่าวถึงประโยชน์ของผักผลไม้ และแนะนำชนิดของผักผลไม้ที่เหมาะสม และวิธีการบริโภคที่ถูกต้อง. การรักษาสุขภาพด้วยการรักษาการกินอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายมีความสมบูรณ์และสามารถต่อต้านไข้หวัดใหญ่ได้อย่างดี.
]]>1.แอปเปิ้ล
วิตามิน C แอปเปิ้ลเป็นที่รู้จักว่ามีปริมาณวิตามิน C สูง ที่เป็นสารต้านออกซิเดนที่ช่วยลดการอักเสบในปอดและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การบริโภคแอปเปิลช่วยในกระบวนการหายของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของปอดด้วย
กลิ้งอลห์และกวีน สารต่าง ๆ ที่พบในแอปเปิลช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังของทางเดินหายใจและปอด เช่น การลดการอักเสบและการทำลายของเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นในปอด
การบริโภคแอปเปิลเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงสุขภาพปอด เพราะการรับประทานผลไม้ที่เพื่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบหายใจ อย่างการออกกำลังกาย การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพปอด เช่น ควันบุหรี่และมลพิษในอากาศ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพของปอดอย่างมาก
2.ขมิ้นชัน
มีสารที่เรียกว่า "คุอร์คูมิน" (Curcumin) ที่เป็นสารที่มีสมบัติต้านออกซิเดนและต้านอักเสบ ทำให้ขมิ้นชันมีผลต่อการบำรุงสุขภาพปอดได้ดี สามารถช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจและปอด ทำให้ช่วยลดอาการของโรคทางเดินหายใจและปอดได้ดี และช่วยในการฟื้นฟูของปอดที่เสื่อมสภาพ
3.ขิง
ลดการอักเสบ ขิงมีสมบัติต้านอักเสบ ที่ช่วยลดอัตราการอักเสบในระบบทางเดินหายใจและปอด ทำให้ช่วยลดอาการที่เกิดจากโรคทางเดินหายใจและปอดได้ดี
คุณสมบัติต้านออกซิเดน สารของขิงช่วยลดการทำลายของเนื้อเยื่อในปอด ช่วยในการป้องกันความเสื่อมสภาพของปอดและช่วยในกระบวนการฟื้นฟูของปอดที่เสื่อมสภาพ
4.กระเทียม
ต้านอักเสบ อลลิซินมีสมบัติต้านอักเสบที่ช่วยลดการอักเสบในทางเดินหายใจและปอด ทำให้กระเทียมมีฤทธิ์ที่ช่วยลดอาการของโรคทางเดินหายใจได้ดี
ต้านเชื้อโรค กระเทียมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อและกำจัดเชื้อโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อปอด ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อหรือโรคทางเดินหายใจ
5. บรอกโคลี่
Broccoli เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสารอาหารสำคัญที่มีผลดีต่อสุขภาพปอดได้ มีสารต้านออกซิเดน เช่นวิตามิน C, คารอทีนอยด์ และ ฟายโทคีเนอส์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางเดินหายใจและปอด นอกจากนี้ยังมีสาร sulforaphane ที่พบได้ใน broccoli ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอักเสบและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมลพิษที่สามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในปอด สารอาหารเหล่านี้ช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดอันตรายต่อปอดได้
การบริโภค broccoli อย่างสม่ำเสมออาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพปอด แต่ไม่มีทางเด็ดขาดที่จะป้องกันโรคหรือปัญหาทางการแพทย์ที่มาจากปัจจัยอื่น ๆ อย่างเดี๋ยวนี้โดยการรักษาพื้นฐานอื่น เช่น การเลิศอาหาร, ออกกำลังกาย, และการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่เสี่ยงต่อปอดเช่น ควันบุหรี่ ยังมีความสำคัญอยู่ด้วยค่ะ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการเปลี่ยนแปลงโดยการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพปอดเป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกันค่ะ.
6.แครอท
วิตามิน A, beta-carotene และ ฟายโทคีเนอส์
ช่วยในการลดการอักเสบในทางเดินหายใจและปอด ป้องกันการทำลายของเนื้อเยื่อในปอด และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
การบริโภค แอปเปิล, ขมิ้นชัน, ขิง, กระเทียม, บรอกโคลี่ และ แครอท อย่างเป็นประจำที่อยู่ในอาหารเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยในการบำรุงสุขภาพปอด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง แต่การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการเพิ่มการบริโภคสารอาหารใหม่เป็นสิ่งสำคัญด้วยนะคะ
ปล. ข้อมูลด้านการรักษาสุขภาพและการบำรุงสุขภาพเป็นการเสนอข้อมูลเท่านั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลค่ะ"
]]>โดยทั่วไปแล้ว การบริโภคผักและผลไม้ที่มีความเป็นด่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั่วไปของร่างกาย แต่ควรระวังการบริโภคอย่างมาตรฐานและควบคุมปริมาณในอาหารประจำวันเพื่อสร้างสมดุลทางโภชนาการที่ดี.
ผักและผลไม้ที่มีความเป็นด่าง (alkaline) สามารถช่วยสร้างสภาวะทางด่างในร่างกายและมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ ต่อไปนี้คือรายการบางส่วนของผักและผลไม้ที่มีความเป็นด่าง:
ผัก:
ผลไม้:
โปรดทราบว่าความเป็นด่างของผักและผลไม้อาจแตกต่างกันไปและอาจมีความเป็นด่างที่น้อยมาก หรือมากขึ้นตามชนิดและการบริโภค เช่น มะเขือเทศอาจมีความเป็นด่างน้อยกว่าโหระพา การบริโภคผักและผลไม้ที่มีความเป็นด่างสามารถช่วยสร้างสภาวะด่างในร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เพื่อสุขภาพที่ดี แต่ควรคำนึงถึงความสมดุลในการบริโภคผักและผลไม้ร่วมกับอาหารอื่น ๆ ในอาหารประจำวัน.
]]>สารต้านอนุมูลอิสระทำหน้าที่ดังนี้:
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) มีแหล่งที่มาจากหลายแหล่งต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เราบริโภคและสารอื่น ๆ ที่เราได้รับผ่านสิ่งแวดล้อม นี่คือแหล่งที่มาที่สำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ:
การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย นี่คือวิธีการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ:
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายและส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้น การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระผ่านอาหารที่คุณบริโภคเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายของคุณ
ผักและผลไม้สีสัน, อาหารทะเล, ผลไม้แห้ง, น้ำผลไม้และน้ำผัก, และอาหารที่เสริมสารต้านอนุมูลอิสระเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่คุณสามารถรับประทานได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
ด้วยการรับประทานอาหารที่รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระและรู้วิธีการเตรียมอาหารให้ครบถ้วน คุณสามารถสร้างสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพในการดำเนินชีวิตของคุณ เริ่มต้นดูแลสุขภาพด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและปรับเปลี่ยนสไตล์การดำเนินชีวิตของคุณสู่สุขภาพที่ดีขึ้นและความอยู่รอดในระยะยาว!
ควรรักษาสมดุลของแมกนีเซียมในร่างกายเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี การบริโภคผักและผลไม้ที่มีแมกนีเซียมเพียงพอเป็นวิธีที่ดีในการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากธาตุอาหารนี้และป้องกันการขาดแมกนีเซียมในร่างกาย
นี่คือผักและผลไม้บางชนิดที่มีปริมาณแมกนีเซียมสูง ได้แก่
ผัก:
ผลไม้:
การบริโภคผักและผลไม้เหล่านี้เป็นวิธีที่ดีในการรับแมกนีเซียมและควรกินรวมกับอาหารประจำวันเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายในระดับที่ดีและป้องกันความขาดแมกนีเซียมในร่างกายได้โดยรวม.
]]>
ใบ ประกอบด้วย สารเบต้าแคโรทีน เบต้าไซโตสเตอรอล (sitosterol) พอลิพรีนอล (polyprenol) วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค แทนนิน โปรตีน โปแตสเซียม
ผล ประกอบด้วย สารคิวเคอร์บิตาซิน บี (cucurbitacin B) สารประกอบตัวเดียวกับ มะระขี้นก บีตา แคโรทีน ไลโคปีน (lycopene) คริพโตแซนทิน (cryptoxanthin) เบต้าไซโตสเตอรอล เดาโคสเตอรอล (daucosterol) ทาราซีโรน (taraxerone) ทาราซีรอล (taraxerol) ลูพีออล (lupeol) บีตาอะไมริน (amyrin) วิตามินซี เส้นใย โปรตีน และเพกติน (pectin)
ราก ประกอบด้วย สารคอกซินิโคไซด์ เค (coccinioside-K) ลูพีออล บีตาอะไมริน บีตาไซโตสเตอรอล
เมล็ด ประกอบด้วย กรดไขมัน ได้แก่ กรดปาล์มิติก (palmitic acid) โอเลอิก (oleic acid) ลิโนเลอิก (linoleic)
จากสรรพคุณของไทยและต่างประเทศพบว่า ตำลึงสามารถในการรักษา เบาหวาน มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มาสนับสนุนสรรพคุณในการรักษาเบาหวานของตำลึง โดยศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองปกติและที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน และมีการนำเกือบทุกส่วนของตำลึงมาใช้ในการศึกษา ได้แก่ ใบ ผล เถา ส่วนเหนือดิน และราก เป็นต้น พบว่าตำลึงมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน โดยสารสกัดลำต้นตำลึงมีฤทธิ์กระตุ้นการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพิ่มระดับอินซูลิน ทำให้มีการสังเคราะห์ไกลโคเจนเพิ่มขึ้น และลดการเปลี่ยนไกลโคเจนมาเป็นกลูโคสเป็นผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้สารสกัดจากใบและส่วนเหนือดินยังมีผลในการ ลดไขมันด้วย
สำหรับการศึกษาทางคลินิกในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานระยะเริ่มต้น (ระดับน้ำตาลในเลือด 110-180 มก./ดล.) ซึ่งได้รับสารสกัดด้วย 50% แอลกอฮอล์จากใบและผล ขนาด 1 ก./วัน เป็นเวลา 90 วัน พบว่าผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (fasting blood glucose) และหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง (postprandial blood glucose) ลดลงร้อยละ 16 และ 18 ตามลำดับ และยังมีผลลดน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) แต่ไม่มีผลต่อระดับไขมันในเลือด และไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานยาเม็ดผงแห้งจากใบตำลึง ครั้งละ 3 เม็ด (ไม่ระบุปริมาณผงแห้ง/เม็ด) วันละ 2 ครั้ง นาน 6 สัปดาห์ จากนั้นทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test) โดยให้กลูโคส 50 ก. วัดระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังทำการทดสอบ พบว่าผู้ป่วยมีความทนต่อกลูโคสดีขึ้นและไม่พบความผิดปกติของน้ำหนักตัว ค่าทางโลหิตวิทยา เอนไซม์แอสพาร์เทตทรานส์อะมิเนส (aspartate transaminase) อะลานีนทรานส์อะมิเนส (alanine transaminase) ยูเรีย และไตของผู้ป่วย และ ในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานสารสกัดจากตำลึง (ไม่ระบุส่วนที่ใช้และตัวทำละลาย) ขนาด 500 มก./กก./วัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดมีผลลดระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสลายกลูโคส ได้แก่ กลูโคส-6-ฟอสฟาเตส (glucose-6-phosphatase) และแลกเตตดีไฮโดรจิเนส (lactate dehydrogenase) และเพิ่มระดับของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายไขมัน คือ ลิโปโปรตีนไลเปส (lipoprotein lipase) แสดงว่าสารสกัดจากตำลึงทำหน้าที่คล้ายกับอินซูลินในยับยั้งการสร้างน้ำตาลและกระตุ้นการสลายไขมันซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยได้ การศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีที่รับประทานอาหารเช้าที่ประกอบด้วย ใบตำลึง 20 ก. ผสมกับมะพร้าวและเกลือ จากนั้นทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล โดยให้รับประทานกลูโคส 70 ก. และวัดระดับน้ำตาลในเลือด พบว่าใบตำลึงมีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครได้
ข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัย จะเห็นว่าตำลึงมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ และนับเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการที่จะนำมารักษาเบาหวาน แม้ว่ารายงานวิจัยในคนมีจำนวนไม่มากนัก แต่การใช้ในรูปแบบพื้นบ้าน และการรับประทานเป็นอาหาร อาจจะช่วยเสริมให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดได้ และที่แน่นอนก็คือ ได้รับประโยชน์จากสารอาหารต่างๆ ที่มีในตำลึงด้วยนั่นเอง
]]>
ประโยชน์หม่อน
วิธีการนำไปใช้ประโยชน์
สรรพคุณหม่อน
ผลหม่อน เป็นผลหม่อนมีลักษณะสีแดง สีม่วงแดง และสุกจัดจะออกสีม่วงดำหรือสีดำ พบสารในกลุ่ม anthocyanin ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอาการขาดเลือดในสมอง ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบวิตามินซี ในปริมาณสูง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย
ใบหม่อน (ต้มน้ำหรือใบแห้งชงเป็นชาดื่ม) ช่วยในการผ่อนคลาย, แก้ร้อนใน กระหายน้ำ, ช่วยลดไข้หวัด และอาการปวดหัว, ช่วยแก้อาการวิงเวียนศรีษะ, แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้คอแห้ง, ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์, ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยทุเลาอาการจากโรคเบาหวาน, ลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด, ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด, ช่วยลดความดันเลือด และต้านแบคทีเรีย ช่วยแก้อาการท้องเสีย
ส่วนของกิ่ง ลำต้น พบสารหลายชนิดที่กล่าวในข้างต้น ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการสร้างเมลานินที่เป็นสารสร้างเม็ดสี จึงมีการสกัดสารดังกล่าวมาใช้ในเครื่องสำอางเพื่อความสวยความงามทำให้ผิวขาวนวล ผลจากฤทธิ์ทางยาอย่างอื่นมีการศึกษาพบช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ ลดอาการมือเท้าเป็นตะคริว
1.บำรุงร่างกาย
เนื่องจากในชาใบหม่อนอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทแคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แมกนีเซียม สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี แร่ธาตุสูง และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากถึง 18 ชนิด จึงไม่แปลกใจเลยหากการดื่มชาใบหม่อนจะช่วยบำรุงร่างกายได้ เพราะสารอาหารมากมายที่อุดมอยู่ในนั้น ก็เป็นตัวการันตีได้ว่าชาใบหม่อนเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพจริงๆ
2.ลดน้ำตาลในเลือด
ใบหม่อนมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายกับน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งสารชนิดนี้ถือเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการออกฤทธิ์เพื่อลดน้ำตาลในเลือด โดยที่สารดังกล่าวจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ซึ่งคอยทำหน้าที่ในการย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้กลายมาเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว นั่นจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้นั่นเอง
การศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาถึงผลในการลดน้ำตาลของใบหม่อน เพื่อสนับสนุนในการที่จะนำมาใช้รักษาเบาหวาน พบว่า...มีการศึกษาทั้งในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และการศึกษาทางคลินิก
โดยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง พบว่า สารสกัดและชาใบหม่อน มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ยับยั้งการดูดซึมกลูโคส และลดน้ำตาลในเลือดได้ สารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สาร 1-deoxynojirimysin (DNJ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ที่มีโครงสร้างคล้ายน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides)
สำหรับการศึกษาทางคลินิก พบว่า การรับประทานผงใบหม่อนขนาด 5.4 ก./วัน ร่วมกับน้ำ (แบ่งรับประทานครั้งละ 1.8 ก. วันละ 3 ครั้ง) เป็นเวลา 3 เดือน มีผลทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีระดับน้ำตาล และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดลดลง และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ
และในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รับประทานแคปซูลผงใบหม่อน ขนาด 6 แคปซูล/วัน (ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร (1 แคปซูล มีผงใบหม่อน 500 มก. เท่ากับ 3 ก./วัน) เป็นเวลา 30 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ขนาด 5 มก./วัน พบว่า กลุ่มที่ได้รับผงใบหม่อนมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม และยังมีผลลดคอเลสเตอรอลรวม ไตรกลีเซอไรด์ กรดไขมันอิสระ LDL และ VLDL และเพิ่มระดับของ HDL อีกด้วย ..ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่มีผลต่อระดับไขมันในร่างกาย ยกเว้นระดับไตรกลีซอไรด์ที่มีค่าลดลง
การศึกษาในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน (ระดับน้ำตาลในเลือด 100-140 มก./ดล.) รับประทานแคปซูลสารสกัดจากใบหม่อน ขนาด 1, 2 และ 3 แคปซูล (ซึ่งมี DNJ เท่ากับ 3, 6 และ 9 มก./แคปซูล) ก่อนอาหาร เป็นเวลา 15 นาที พบว่า มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร และลดการหลั่งอินซูลินได้
การศึกษาผลความปลอดภัยของการรับประทานผงสารสกัดจากใบหม่อนในระยะยาว โดยให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานผงสารสกัดใบหม่อน ขนาด 3.6 ก./วัน (ครั้งละ 1.2 ก. ก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง ; DNJ เท่ากับ 54 มก./วัน ) เป็นเวลา 38 วัน พบว่า สารสกัดใบหม่อนไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดความผิดปกติของไขมันในร่างกาย ไม่มีผลต่อค่าชีวเคมีในเลือดและไม่เกิดอาการข้างเคียงที่อันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
จากการทดลองทั้งหมด ช่วยให้เราสรุปผลได้ว่า..ใบหม่อนมีผลลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน และคนปกติได้..โดยไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดลดต่ำ ไม่เกิดอาการข้างเคียงที่อันตรายเมื่อรับประทานต่อเนื่องนาน 1 เดือน และมีการศึกษาที่รับประทานในระยะยาว 12 สัปดาห์ ก็ไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเช่นกัน
3.ลดคอเลสเตอรอล
ผลการศึกษาที่ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร BioMed Research International ปี 2013 ระบุว่า อาสาสมัครที่ทานผงใบหม่อนในปริมาณ 280 กรัมต่อวัน วันละ 3 เวลาติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน จะส่งผลให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์และระดับไขมัน LDL ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทานอาหารของแต่ละคนด้วย
4.ลดความดันโลหิต
สาร GABA มีอยู่ในชาใบหม่อนสูงถึง 230 มิลลิกรัมต่อใบหม่อน 100 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งสาร GABA มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงอย่างที่เราทราบกันดีนั่นเอง
5.ลดอาการอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อ
เนื่องจากใบหม่อนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลากหลายชนิด ดังนั้น จึงสามารถลดอาการอักเสบในร่างกายได้ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระนั้น มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อ และลดการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาจาก PubMed Health ที่ได้ระบุไว้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระในใบหม่อนนั้น มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน
หลายคนอาจสงสัยว่าจะสามารถนำใบหม่อนมาทำเป็นเครื่องดื่มชาใบหม่อนได้อย่างไร เราขอแนะนำให้เก็บยอดใบประมาณยอดที่ 3-4 แล้วนำมาหั่นขนาดพอเหมาะ ต่อด้วยการลวกน้ำร้อน 30 นาที แล้วล้างให้สะอาด ตามด้วยการนำไปผึ่งแดดให้หมาดๆ จากนั้นนำมาคั่วด้วยไฟอ่อนๆ จนกว่าใบหม่อนจะแห้ง เสร็จแล้วก็เก็บไว้ในขวดโหลเพื่อนำมาชงดื่มตามที่ต้องการ ในส่วนของข้อควรระวังนั้น สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ทานยา Acarbose ไม่แนะนำให้ดื่ม เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากเกินไปค่ะ
]]>
การขยายพันธุ์ นิยมใช้วิธีปักชำหรือการเพาะเมล็ด ผักเชียงดาเป็นพืชที่ทนแล้งแต่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีการระบายน้ำที่ดี โดยนิยมปลูกตามริมรั้วหรือปล่อยให้เลื้อยขึ้นตามค้างหรือพาดขึ้นตามต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง
คุณค่าทางโภชนาการ
ยอดอ่อนและใบอ่อนของผักเชียงดามีรสขมอ่อนๆ และมีสารอนุมูลอิสระสูงมาก ในผักเชียงดาหนัก 100 กรัม ให้พลังงาน 60 แคลอรี มีน้ำประมาณ 87.9% วิตามินซี 153 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 5905 ไมโครกรัม วิตามินเอ 984 ไมโครกรัม แคลเซียม 78 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 98 มิลลิกรัม เส้นใยอาหาร 2.5 กรัม โปรตีน 5.4 กรัม ไขมัน 1.5 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 8.6 กรัม
สรรพคุณทางยา
ผักเชียงดา มีสรรพคุณมากมาย เช่น
ผักเชียงดาของไทยมีผลการวิจัย เกี่ยวกับการลดน้ำตาลในเลือดและลดไขมัน ประเทศญี่ปุ่นมีการจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์จากผักเชียงดา ในเรื่องการลดน้ำตาลในเลือดและลดไขมัน ทั้งรูปของเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะนอกจากคำว่า gymnema มีรากศัพท์มาจากคำว่า “ gurmar ” ในภาษาฮินดู ซึ่งหมายถึงผู้ฆ่าน้ำตาลแล้ว ในผักเชียงดา พบสารสำคัญในกลุ่มไตรเทอร์ปีนซาโปนินที่ชื่อ gymnemic acid ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการขนส่งน้ำตาล ชะลอการดูดซึมน้ำตาลบริเวณลำไส้เล็ก นอกจากนี้ gymnemic acid ยังกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเบต้าเซลล์ที่บริเวณไอส์เลตออฟลังเกอร์ฮันส์ (islets of Langerhans) ในตับอ่อน กระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้น้ำตาลในเลือดลดลง
การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าส่วนสกัดซาโปนินที่แยกที่ได้สารสกัด 75% เอทานอลของใบเชียงดา และสารไตรเทอร์ปีนอยด์จากผักเชียงดา สามารถยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้เล็กส่วนปลายของหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นผลมาจากการยับยั้งการนำกลูโคสจากภายนอกเข้าสู่เซลล์ เมื่อทดสอบความทนต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test: OGTT) โดยป้อนสารนี้ให้แก่หนูแรทร่วมกับสารละลายกลูโคสขนาด 1 ก./กก.น้ำหนักตัว สามารถ ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญที่เวลา 15 นาที และ 30 นาทีหลังการทดสอบตามลำดับ
การศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครปกติ พบว่าเมื่อดื่มชาที่เชียงดา (มีใบเชียงดาอบแห้ง 1.5 ก. ชงกับน้ำร้อน 150 มล.) ทันที หรือที่เวลา 15 นาทีหลังการทดสอบน้ำตาล มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ และฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดให้ผลแปรผันตรงกับขนาดที่ได้รับ (19) และการรับประทานชาเชียงดา วันละ 1 แก้ว หลังอาหารทันที ต่อเนื่อง 28 วัน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงสุด (peak plasma glucose concentration) ได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน อย่างไรก็ตามเมื่อทำการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยให้ดื่มชาที่เตรียมจากใบเชียงดาแห้ง 1.2 ก. ชงในน้ำร้อน 150 มล. วันละ 3 ครั้ง หลังมื้ออาหาร 15 นาที ติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ควบคู่ไปกับการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง กลับไม่พบฤทธิ์รักษาเบาหวานของชาเชียงดา
จะเห็นได้ว่าการศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผักเชียงดายังมีไม่มากนัก โดยเฉพาะการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน แต่ผักเชียงดามีแนวโน้มที่ดีที่จะใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลขั้นต้น อีกทั้งผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีการรับประทานเป็นอาหารมาช้านาน และยังไม่ปรากฏรายงานความเป็นพิษจากการรับประทาน อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานยาแผนปัจจุบันและต้องการรับประทานผักเชียงดา ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจจะเสริมฤทธิ์กับยา จนทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปได้
เมนูอาหาร
นิยมนำใบอ่อน ยอดและดอกของผักเชียงดามาลวกรับประทานร่วมกับน้ำพริกหรือตำมะม่วง ผัดใส่น้ำมันหอยหรือผัดใส่ไข่ เมนูที่นิยมกันมาก คือ แกงใส่ปลาแห้ง หรือนำมาแกงร่วมกับผักชนิดอื่น เช่น ผักฮ้วน หรือ ผักตำลึง แกงผักเชียงดาใส่ปลาย่าง มีส่วนประกอบดังต่อไปนี้
วิธีทำ นำปลาแห้งมาต้มในหม้อให้เดือดเมื่อต้มเสร็จแล้วตักปลาแห้งออกนำมาแกะเอาแต่เนื้อปลา ใส่น้ำพริกแกงลงไปตามด้วยเนื้อปลาแห้ง ใส่ผักเชียงดาและใส่มะเขือเทศลงไป ใส่ปลาร้าและปรุงรสตามชอบใจ
ขอบคุณที่มา
pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/432/ผักเชียงดา-ลดน้ำตาลในเลือด
]]>มะระขี้นก เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมานานนับพันปี ในเอเชีย อาฟริกา และละตินอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวรวมกับข้อมูลการค้นคว้าถิ่นกำเนิดของมะระขี้นกที่ได้มีการค้นคว้ากันมากในอดีต ถิ่นกำเนิดของมะระขี้นกนั้นอยู่ในเขตร้อนของเอเชียและทางตอนเหนือของแอฟริกาเขตร้อน ซึ่งอาจรวมไปถึงเขตร้อนในอเมริกาใต้หรือแถบประเทศลาตินอเมริกาอีกด้วย เพราะในปัจจุบันนั้นมะระขี้นกสามารถเพาะปลูกหรือมีให้เห็นได้ในประเทศเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล , อาร์เจนตินา , ปารกวัย ฯลฯ แอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา , แทนซาเนีย , อูกานดา ฯลฯ และเอเชีย เช่น พม่า , ไทย , ลาว , กัมพูชา เป็นต้น มะระขี้นกสามารถนำมารับประทาน หรือนำมาประกอบเป็นอาหารได้ เช่น ใบอ่อน ยอดอ่อน และผลอ่อน นึ่งหรือลวกให้สุก รับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกปลาทู น้ำพริกตาแดง และยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมของแกงแค และคั่วแคได้มะระขี้นกมีรสขมมากกว่า มะระจีน จึงนิยมกินในหมู่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ในมะระขี้นกมีสารหลายชนิดที่ต้านเบาหวาน และมีหลายกลไกที่ออกฤทธิ์ต้านเบาหวาน ได้แก่ เสริมการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ เสริมการเผาผลาญน้ำตาล เพิ่มความไวต่ออินซูลิน เพิ่มความทนต่อกลูโคส (glucose tolerance) นอกจากนี้ยังยับยั้งการหลั่งกลูโคสในลำไส้เล็ก และยับยั้งเอนไซม์กลูโคไซเดส
ปัจจุบันมีผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับทั้งในสัตว์ทดลองและในผู้ป่วยเบาหวาน ยืนยันว่า สารcharantin(ชาแรนทิน) ที่พบในมะระขี้นก สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง! และการใช้มะระขี้นกขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน จากการติดตามผลไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรง และไม่พบความเป็นพิษต่อตับ ซึ่งทำให้สามารถ มั่นใจได้ว่า การใช้มะระขี้นก ไม่ว่าจะใช้เป็นอาหารหรือเป็นยาในการป้องกันหรือรักษาโรคเบาหวานนั้นมีความปลอดภัย น้ำคั้นสกัดจากผลมะระขี้นก แสดงฤทธิ์ต้านเบาหวานในกระต่ายและหนูขาว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามะระสามารถชะลอความผิดปกติของไต การเกิดต้อกระจก การเสื่อมของเส้นประสาทซึ่งเป็นผลมาจากการที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน หรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลเลือดให้ปกติ
นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้กล่าวเสริมว่า ผู้ป่วยเบาหวานทั่วไปจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุเกิดจาก การขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือ การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินบกพร่อง
อาการสำคัญที่สังเกตได้ของโรคเบาหวาน คือ ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หิวบ่อย กระหายน้ำบ่อย มีอาการชาปลายมือปลายเท้า หากมีบาดแผล มักจะหายช้า ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ส่งผลให้จอประสาทตาเสื่อม เกิดแผลกดทับ ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะติดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการก่อให้เกิดความพิการตามมา
การใช้ มะระขี้นก เพื่อลดน้ำตาลในเลือด ให้เน้นการรับประทาน เป็นอาหาร หรือ นำมาคั้นสกัดเป็นน้ำผักผลไม้ จะได้ไฟเบอร์ แร่ธาตุ และวิตามินอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ก็ควรจำกัดการบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ขอบคุณข้อมูล
pharmacy.mahidol.ac.th
disthai.com/16963896/มะระขี้นก
]]>
สำหรับผู้เริ่มต้น การคั้นน้ำสกัดเย็นไม่ได้เกี่ยวกับอุณหภูมิ เมื่อน้ำผลไม้ถูกสกัดเย็น หมายถึงวิธีการสกัด – ผ่านการ 'บด' ผักและผลไม้ เหมือนกับวิธีการทำไวน์ ที่ใช้มือบีบองุ่น นี่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด
ดังนั้นเมื่อเราบดผลไม้และผัก จะได้เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจากธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ของเรา และเราจะได้เส้นใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งหล่อเลี้ยงและบำรุงเซลล์ วิตามินและแร่ธาตุทั้งหมดที่เรารับประทานโดยธรรมชาติจากผักและผลไม้ ยังคงสภาพเดิมด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้สกัดเย็น
ประโยชน์ของการคั้นน้ำสกัดเย็นสำหรับการเริ่มต้นจะดีกว่า!
คุณได้รับมากขึ้นน้ำผลไม้มากขึ้น สารอาหารมากขึ้น มีเวลาเก็บในตู้เย็นมากขึ้น คุณค่าจากผลผลิตมากขึ้น
น้ำผลไม้สกัดเย็นดีกว่าน้ำผลไม้ที่ทำในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แบบดั้งเดิม เพราะเก็บสารอาหารที่ไวต่อความร้อน เช่นวิตามินซีและเอ็นไซม์ไว้ทั้งหมด
ปกติคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นแค่น้ำผลไม้
น้ำผลไม้เป็นน้ำผลไม้ใช่มั้ย?
ผิดค่ะ
น้ำผลไม้แตกต่างกันมาก
ตั้งแต่น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำตาลซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์นอกจากเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ จากน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการทั้งหมด ไปจนถึงน้ำผลไม้ที่ดูและรสชาติไม่เหมือนน้ำผลไม้สด
แล้วคุณล่ะ มีเหตุผลที่ดื่มน้ำผลไม้หรือไม่?
ใช่. เพราะเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีต่อตัวคุณและร่างกายและเซลล์ของคุณก็ต้องชอบ!
เครื่องคั้นน้ำแบบช้าและแบบเร็ว
การคั้นน้ำสกัดเย็น ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ที่สกัดโดยการบด (หรือบีบ) ผักและผลไม้ (สกรู) ภายในเครื่องบดหมุนที่รอบ 50-60 รอบต่อนาที (การทำซ้ำต่อนาที) ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เรา 'เคี้ยวอาหาร' นี้เรียกว่า คั้นน้ำผลไม้ช้า
วิธีการสกัดน้ำผักและผลไม้แบบดั้งเดิมคือการใช้ 'เครื่องคั้นน้ำผลไม้แบบแรงเหวี่ยง' ซึ่งเป็นเครื่องที่มีใบมีดที่หมุนด้วยความเร็วประมาณ 12,000 รอบต่อนาที (การทำซ้ำต่อนาที) ใบมีดเหล่านี้จะฉีกผักและผลไม้ออกจากกันเพื่อสกัดน้ำออก นี้เรียกว่า คั้นน้ำผลไม้อย่างรวดเร็ว
การสกัดน้ำผลไม้ประเภทนี้ทำได้เร็วมาก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ให้คุณค่าทางโภชนาการมากนักเพราะวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดสูญหายระหว่างการคั้น!
เมื่อคุณ 'ใส่' ผลไม้และผักลงในเครื่องคั้นน้ำผลไม้ที่มีใบมีดหมุนเร็ว ใบมีดเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนมีดแมเชเท - ฉีกที่ผลผลิตเพื่อบดให้เป็นน้ำผลไม้ ขณะที่ใบมีดหมุนอยู่ในโถ น้ำผลไม้จะถูกแยกใส่เหยือก และกากจะแยกลงในถังกากเป็นของเสีย
ใบมีดหมุนเร็วสร้างความร้อนตามธรรมชาติ เรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งหมายความว่าวิตามินที่ไวต่อความร้อนทั้งหมดของคุณจะถูกทำลายก่อนที่คุณจะได้รับวิตามินดังกล่าวกระบวนการออกซิเดชันเริ่มต้นในนาทีที่ผลไม้ฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยใบมีดโลหะ นี่เป็นเพียงการให้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับเครื่องคั้นน้ำสองประเภทที่คุณเห็นในตลาด
ภาพด้านล่างแสดงความแตกต่างระหว่างน้ำผลไม้เร็วและน้ำช้า (หรือน้ำผลไม้สกัดเย็น)
แล้วไฟเบอร์ล่ะ?
ตอนนี้ เราไม่ได้นั่งกินแครอท 10 หัว บีทรูท 1 ลูก แอปเปิ้ล 3 ลูก มะนาว 1 ลูก และขิงขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่หากต้องการให้นำผักผลไม้เหล่านี้ไปใช้กับเครื่องคั้นน้ำผลไม้สกัดเย็น คุณสามารถดื่มได้ในเวลาไม่นาน และประโยชน์จากธรรมชาติทั้งหมดจะไปและหล่อเลี้ยงเซลล์ของคุณทันที แบบไม่ต้องย่อย
เมื่อสกัดเสร็จแล้วเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ(ย่อยสลายไม่ได้)ได้ถูกแยกออกไปกับกากแล้ว
เรา มาพูดถึง ‘ไฟเบอร์’ กันดีกว่า
โอเค เราทุกคนรู้ดีว่าเราต้องการไฟเบอร์
ถ้าคุณกินพืช ผลไม้/ผัก คุณจะได้รับไฟเบอร์มากมาย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าในผักและผลไม้ที่คุณกินมีไฟเบอร์อยู่ 2 ประเภท?
เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำและละลายน้ำได้
เส้นใยที่ละลายน้ำได้ตามชื่อบ่งบอกว่าละลายในน้ำ ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายในน้ำ ร่างกายของเราใช้ทั้งสองอย่าง แต่เซลล์ของเราใช้ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้เท่านั้น เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำไม่ได้เลี้ยงเซลล์ของเรา หน้าที่คือกวาด (เหมือนไม้กวาด) ผนังลำไส้ของเราเพื่อดันของออกทางลำไส้ของเรา มันเป็นตัวทำความสะอาดภายในที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
เส้นใยที่ละลายน้ำเป็นสิ่งที่เลี้ยงเรา เส้นใยที่ละลายน้ำได้ประกอบด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระและเกลือที่ดี เซลล์ของเราต้องมีไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้จึงจะอยู่รอดได้!
เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจะไม่สลายตัวในน้ำ แต่ยังคงไม่บุบสลายและไหลผ่านทางเดินอาหารซึ่งดูดซับของเหลว เกาะติดกับผลพลอยได้อื่น ๆ ของการย่อยอาหาร และโดยพื้นฐานแล้วจะสร้างอุจจาระของเราที่ขับออกทางลำไส้ นั่นคืองานของมัน เป็นเครื่องกวาดภายในของเราใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำไม่มีผลดีต่อเซลล์ของเรา
น้ำผลไม้สกัดเย็นเก็บเส้นใยที่ละลายน้ำได้หรือไม่?
ใช่. เส้นใยที่ละลายน้ำได้คือ 'น้ำที่มีประโยชน์' ซึ่งช่วยบำรุงและหล่อเลี้ยงเซลล์ของเรา
ดังนั้น เมื่อคุณคั้นน้ำผลไม้และเอาเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำออกทั้งหมด (ลงในถังกาก) โปรดอย่ากังวลกับสิ่งนี้ ให้รู้ว่าน้ำผลไม้ที่คุณได้รับจากเครื่องสกัดน้ำผลไม้สกัดเย็นของคุณนั้นบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเจือปน ตามที่ธรรมชาติจัดเตรียมไว้ให้ – ดีต่อสุขภาพที่สุด
ร่างกายของคุณไม่ต้องทำงานเพื่อดึงเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำออก เครื่องทำน้ำผลไม้ได้ช่วยคุณแล้ว คุณดื่มมันและเซลล์ของคุณจะได้ใช้มัน – เกือบจะในทันที!น้ำผลไม้สกัดเย็นจะคงอยู่นานขึ้นเมื่อเก็บไว้
เพราะคุณได้คั้นน้ำผลไม้ออกมาอย่างช้าๆ โดยการบีบและคั้น ได้คุณประโยชน์เพิ่มเติมที่ไม่ใช่แค่ให้รสชาติดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถเก็บไว้ในขวดแก้วในตู้เย็นได้ 3 วันอีกด้วยเนื่องจากออกซิเจนไม่ได้ถูกดูดเข้าไปในเครื่องคั้นน้ำผลไม้เพื่อทำน้ำผลไม้ จึงมีอายุการใช้งานตู้เย็นนานขึ้นโดยธรรมชาติ
สิ่งนี้วิเศษมากเพราะคุณสามารถทำน้ำผลไม้ในปริมาณมากได้
ลองนึกภาพการซื้อผักผลไม้ตามฤดูกาลที่ตลาดเกษตรกรในพื้นที่ของคุณ แล้วคั้นน้ำทั้งหมดล่วงหน้า!
เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มผลผลิตของคุณให้สูงสุด และช่วยประหยัดเวลา เงิน และกระบวนการผลิต
น้ำผลไม้สกัดเย็นสามารถทำในปริมาณที่มากขึ้นและเก็บไว้ในตู้เย็นพร้อมดื่มทุกเมื่อ มันจะช่วยทำให้ชีวิตของคุณสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและเป็นหนทางใหม่ในการรวมส่วนผสมที่มีชีวิตที่สำคัญหลายอย่างที่ธรรมชาติมีให้
สุดยอดเครื่องคั้นน้ำผลไม้สกัดเย็น
เครื่องคั้นน้ำผลไม้ Kuvings Cold Press ดีที่สุดในตลาด
คุณสามารถทำวิจัยของคุณเองและหาข้อสรุปของคุณเองได้
แต่สำหรับ Kuvings เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาจากเกาหลีและชนะการตอบโจทย์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม เงียบและใช้งานง่าย ทำความสะอาดง่าย
]]>มะพร้าว
เป็นผลไม้ที่มีความพิเศษและช่วยลดเครียดได้ จากการที่ในตัวมะพร้าวเองจะมีความเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง ที่มีส่วนช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ เราจึงรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าขึ้น
กล้วย
มีส่วนช่วยในการผลิตสารแห่งความสุข นอกเหนือจากจะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุแล้ว เนื่องจากในกล้วยนั้นมีโปรตีนชื่อ ทริปโตเฟน ที่ช่วยผลิตสารเซโรโทนิน หรือฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ในกล้วยยังมีน้ำตาลธรรมชาติ ช่วยสร้างความสดชื่น และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้
แตงโม
เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะมีแคลอรีต่ำ รสชาติอร่อย กินแล้วรู้สึกสดชื่น เพราะในแตงโมอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ซึ่งโพแทสเซียมจะช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยทำให้จิตใจร่าเริงแจ่มใสได้ นอกจากนี้แล้วยังมี สารไลโคพีน (Lycopene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อีกทั้งยังมี เบตาแคโรทีน (Beta-Carotene) ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่ชรา ฯลฯ เป็นต้น
และมีผลไม้บางส่วนที่ช่วยลดอาการตึงเครียดได้ แต่มีเฉพาะบางฤดู หรือ ซื้อขาย ตาม super market เช่น
ลำไย
ลำไย ผลไม้ตามฟดูกาลหน้าฝน ลำไยมีสารกาบาและกรดแกลลิกช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ และยังทำหน้าที่รักษาสมดุลของสมอง จึงช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียดวิตกกังวล นอนหลับสบาย อีกทั้งยังวิตามินบี12 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง รักษาอาการวิตกกังวล คลายความเครียด
แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟลอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก กำมะถันและสารต้านอนุมูลอิสระมีสรรพคุณสามารถช่วยควบคุมและลดน้ำหนักล คอเลสเตอรอล ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดัน ช่วยลดความตึงเครียด ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ฯลฯ
เสาวรส
หากคุณดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำก็จะช่วยทำให้นอนหลับสบายขึ้น เพราะเสาวรสมีสารเซโรโทนินซึ่งเป็นสารที่มีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ ช่วยลดความเครียดและช่วยทุเลาอาการซึมเศร้า เมื่อกินเสาวรสแล้วจึงทำให้ร่างกายหลับง่ายขึ้น
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์ และแบล็กเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง ได้มีการศึกษาวิจัยลงในวารสารการแพทย์ว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาเป็นเวลา 2 ปีด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือยาหลอก หลังจาก 2 ปีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยสารต้านอนุมูลอิสระส่งผลให้ภาวะซึมเศร้ามีอาการทุเลาลง
]]>
เคยไหม? ทำน้ำผักผลไม้สกัดเย็นแล้วทำไมรสชาติแปลก ต้องผสมยังไงให้อร่อย ถ้าหากใส่ส่วนผสมตามอารมณ์โดยไม่สนใจสัดส่วนอาจจะได้น้ำผลไม้รสชาติแปลกดื่มแทบไม่ได้ ถ้าเพิ่มรสหวานตามใจชอบรสชาติน้ำผลไม้จะเลี่ยน ถ้าใส่ผักใบเขียวมากเกินไปจะมีรสขม ให้ใส่มะนาวเพิ่มจะทำให้รสเป็นกลางได้ แต่ควรระวังถ้าใส่ผักรสเผ็ดอย่าง
ถ้าหากใส่ส่วนผสมตามอารมณ์โดยไม่สนใจสัดส่วนอาจจะได้น้ำผลไม้รสชาติแปลกดื่มแทบไม่ได้ ถ้าเพิ่มรสหวานตามใจชอบรสชาติน้ำผลไม้จะเลี่ยน ถ้าใส่ผักใบเขียวมากเกินไปจะมีรสขม ให้ใส่มะนาวเพิ่มจะทำให้รสเป็นกลางได้ แต่ควรระวังถ้าใส่ผักรสเผ็ดอย่าง พริกและขิง มากเกินไป จะไม่มีวิธีแก้ไข
วิธีปรับสัดส่วนน้ำผลไม้ให้พอดี
ผักผลไม้แต่ละชนิดจะมีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกัน ขนาดอาจจะไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง เพราะฉะนั้นควรปรับสัดส่วนตามหลัก “ปริมาณหลังคั้นเป็นน้ำ” โดยสัดส่วน น้ำผักต่อน้ำผลไม้ทั่วไปจะเป็น 1:1
สูตรคะน้า แอปเปิ้ล มะนาว
ส่วนผสม
วิธีทำ
ถ้าปรับสัดส่วนตามนี้ก็ได้น้ำผักผลไม้ที่อร่อยแล้ว อย่าฝืนใจดื่มเพียงเพราะสุขภาพและคุณสมบัติอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือค้นหาน้ำผลไม้ที่ดื่มได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก หนังสือน้ำผักและน้ำผลไม้ดีท็อกซ์2 เขียนโดย จอนจูลี
]]>โดยกระชายนั้นมีคุณค่าทางอาหารเป็นอย่างมากหากนำมาเปรียบเทียบกระชายปริมาณ 100 กรัมนั้นจะมี
ทั้งนี้กระชายยังมีสรรพคุณช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็น
อีกทั้งสารสกัดจากกระชายขาวสามารถช่วยสร้างภูมิโควิดได้ไม่ว่าจะเป็น
จะเห็นได้ว่ากระชายขาวนั้นมีประโยชน์ และสรรพคุณเป็นอย่างมาก แต่การรับประทานที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียกับร่างกายได้ ข้อระวังในการรับประทานกระชายมีดังนี้
อีกทั้งไม่ควรทานต่อเนื่องเป็นเวลานานเนื่องจากกระชายนั้นมีฤทธิ์ร้อน อาจส่งผลให้เกิดอาการร้อนในหรือแผลในปาก สำหรับบางคนที่รู้สึกว่ารับประทานยาก กินแล้วรู้สึกไม่สบายใจเพราะมีรสชาติที่ร้อนแรง ก็สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำกระชายเก็บไว้ได้ โดยทำการผสม มะนาว และน้ำผึ้งเพิ่มเติมลงไป ก็จะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก
ขอขอบคุณที่มาจาก : paolohospital
]]>เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่โบราณในการรักษาโรคต่าง ๆ รวมถึงการนำมาทำอาหารหลากหลายชนิด ทางภาคอีสานหมอยาโบราณเรียกย่านางว่า “หมื่นปี บ่ เฒ่า” แปลเป็นภาษากลางว่า “หมื่นปีไม่แก่” และในปัจจุบัน ย่านาง ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก เพื่อรักษาอาการป่วยต่าง ๆ รวมทั้งการปรับสมดุลในร่างกาย เรามาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้กันให้มากกว่านี้ดีกว่า รับรองว่าจะต้องทึ่งกับสรรพคุณที่มากมายของย่านางแน่นอนค่ะ
ใบย่านาง สรรพคุณนั้นมีหลากหลาย เพราะเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน เป็นต้น
สำหรับบางคนที่รู้สึกว่ากินยาก เหม็นเขียว กินแล้วรู้สึกไม่สบายก็สามารถนำน้ำย่านางนำมาสกัดดื่มหรือจะผสมกับผลไม้ต่างๆ อย่างเช่น สูตรน้ำสกัด ใบย่านาง ลูกสาลี่ สูตรยาเย็น ควรดื่มแต่พอดี หากดื่มแล้วรู้สึกแพ้ พะอืดพะอม ก็ควรลดความเข้มข้นของสมุนไพรที่ใส่ลงไปให้น้อยลงอีกจนเหมาะสมกับเรา สรรพคุณของใบย่านาง ช่างเยอะจริงๆ
ขอบคุณที่มาจาก kapook
]]>มีถิ่นกำเนิดมาจาก อาฟกานิสถาน รูปร่างภายนอกจะเป็นเนื้อสีม่วง และภายในเป็นเนื้อสีส้มอมเหลือง เหมือนเนื้อแครอททั่วไป แครอทม่วง มีสารเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอททั่วไป และมีสาร แอนโทไซยานิน ที่มีในส่วนประกอบหลักของผักสีม่วง
]]>มีถิ่นกำเนิดมาจาก อาฟกานิสถาน รูปร่างภายนอกจะเป็นเนื้อสีม่วง และภายในเป็นเนื้อสีส้มอมเหลือง เหมือนเนื้อแครอททั่วไป แครอทม่วง มีสารเบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอททั่วไป และมีสาร แอนโทไซยานิน ที่มีในส่วนประกอบหลักของผักสีม่วง ทำหน้าที่สารต้าน อนุมูลอิสระ ซึ่งยับยังการเกิดเซลล์ มะเร็ง ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และมีสารต้านการอักเสบได้ดี แครรอทม่วงเหล่านี้ได้รับความนิยมในตุรกี ตะวันออกกลาง และตะวันออกไกล แครอทม่วง ที่มีชื่อเสียงและไม่เหมือนใคร คือ แครอทสีม่วง / ดำ(zanahoria morá) ใน Cuevas Bajas ของ ประเทศสเปน
ประโยชน์ของแครอทโดยทั่วไป
1.วิตามิน A จะเป็นตัวช่วยในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตเนื้อเย่ือของร่างกาย ซึ่งแครอทอุดมไปด้วยวิตามิน A ซึ่งอยู่ในรูปของ เบต้า แคโรทีนนั่นเอง
2.ช่วยชลอการะบวนการแก่ เนื่องจากแครอทเองมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก และเจ้าอนุมูลอิสระ ก็เป็นสาเหตุของปัญหาผิว ริ้วรอย ผิวหนังอักเสบ
3.ปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากแครอทอุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับแสงแดด และ ช่วยรักษาผิวไหม้จากแดด ด้วยการเสิรมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นดื่มน้ำแครอทในหน้าร้อน ก็เปรียบเสมือนเราได้สารปกป้องจากแสงแดดได้ตามธรรมชาติ
4.เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน โดยวิตามิน ซีในแครอท จะช่วยการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญสำหรับความยืดหยุ่นของผิว ลดริ้วรอย ชะลอการแก่
5.ช่วยลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
6.ลดและปกป้องผิวจากการเกิดสิว เนื่องจากแครอทจะมี essential oil ที่จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดการเกิดสิวได้
7.รักษาแผลเป็น หนึ่งในประโยชน์ของแครอทการมีผลทางการรักษาบรรเทาแผลเป็น ด้วย วิตามิน A ที่มากในแครอท และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อ
สูตรชะลอความแก่ ลดริ้วรอย
แครอทม่วงมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก สารอนุมูลอิสระนี้ เป็นสาเหตุของปัญหาผิว ริ้วรอย ผิวหนังอักเสบ
นี้เป็นสูตรลดริ้วรอย และความหมองคล้ำใต้ดวงตา
ส่วนผสม
แครอท 1/4 หัว
นมน้ำอะโวคาโด 1 ช้อนโต๊ะ
นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. แครอทล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น ๆ เล็กๆ
2. นำนมน้ำอะโวคาโด นมสด น้ำผึ้ง มาปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. นำส่วนผสมในข้อ 2 ปั่นรวมกับแครอทจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าและบริเวณใต้ตาให้แห้งหมาด
5.ใช้สำลีสะอาดให้ชุ่มเนื้อครีมที่ได้ ให้ชุ่มแล้วนำมาแปะไว้รอบขอบตาล่าง
6.ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วค่อย ๆ ลอกออกจากหางตาเข้ามาหาหัวตา แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ควรทำสัปดาห์ละครั้ง จะทำให้ริ้วรอยค่อย ๆ ลดลง ความหมองคล้ำจะค่อยๆลดลง
]]>
แหล่งที่ดีของวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยคุณ มีหัวใจที่แข็งแรง (ปกป้องหลอดเลือดของคุณส่งเสริม การแข็งตัวของเลือดที่เหมาะสม ฯลฯ )
เลือก:
จำกัด:
ควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพหัวใจ
เลือก:
จำกัด:
มีส่วนช่วยให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงที่นำไปสู่ เพื่อสะสมของเนื้อเยื่อในหลอดเลือดแดงของคุณที่เรียกว่า ภาวะหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis)
เลือก:
จำกัด:
1 เม็ด / วันของถั่ว: ลดความเสี่ยงของหัวใจ 30% โรค 1 การให้บริการ / วันของปลา: ความเสี่ยงลดลง 24% ขณะที่
สัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำที่ 19% และ 13% ตามลำดับ
เลือก:
จำกัด:
เพียง 1 ช้อนชา (2400 มก.) ต่อวัน โซเดียมมากเกินไปสามารถนำไปสู่ความดันโลหิตสูงที่จะนำไปสู่ โรคหัวใจจำนวนมาก
เลือก:
จำกัด:
ให้โอกาสในการกินด้วยตัวคุณเอง
ตามใจตัวเองกับการกินอาหาร แล้ว หลังจากนั้น คุณต้องรู้ว่าอะไรคืออาหารเพื่อสุขภาพที่สำคัญกับคุณ กินให้บ่อยและทำให้กินอาหาร2ประเภทได้ด้วยการวางแผนกินแทนที่กันเท่านี้ คุณก็จะสามารถทานได้อย่างสบายใจ
]]>ในนช่วงเทศกาลถือศีลกินเจนี้ ขอให้บุญกุศลที่ได้ทำในครั้งนี้ ส่งเสริมให้บุญกุศลส่งในท่าน แข็งแรง ทางจิตใจ แต่ ร่างกายของท่านก็ต้องแข็งแรงเช่นกันนะ ถึงเทศกาลกินเจนี้ งดกินเนื้อ ลดการฆ่าสัตว์ลง แต่ทานก็ยังได้โปรตีนจากการทาน พืชผักในช่วงเทศกาลกินเจนี้ได้เช่นกัน ทาง Kuvings Thailand จึงอยาก เสนอ 10แหล่ง โปรตีนจากพืชที่หาทานง่าย ในช่วงเทศกาลกินเจ ว่ามีอะไรบ้าง
1.อัลมอนด์ 1 ถ้วย โปรตีน 20 กรัม
การรับประทานอัลมอนด์ 30 กรัม หรือประมาณ 24 เมล็ด ให้พลังงานทั้งหมด 160 แคลอรี่ โดยมีกรดไขมันอิ่มตัว 1 กรัม กรดไขมันไม่อิ่มตัว 13 กรัม และโปรตีน 6 กรัม อัลมอนด์จึงได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากอัลมอนด์ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญที่ส่งผลดีต่อร่างกาย หลายคนจึงเชื่อว่าการรับประทานอัลมอนด์มีส่วนช่วยในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดระดับคอเลสเตอรอล ต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมความจำและสติปัญญา รวมถึงการทำงานของกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบการเผาผลาญพลังงาน
2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ออนซ์ โปรตีน 5 กรัม
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดพืชแหล่งโปรตีนและไขมันดีต่อสุขภาพที่หลายคนเชื่อว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังบางชนิดได้ เช่น โรคอ้วนลงพุง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น โดยส่วนที่นำมาบริโภคเป็นเนื้อในสุดของเมล็ด คนทั่วไปนิยมรับประทานเป็นของกินเล่นหรือใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารและขนมหวานต่าง ๆ
3. ถั่วลิสง 1 ถ้วย โปรตีน 38 กรัม
ถั่วลิสง อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันดี เส้นใยอาหาร และกล่าวกันว่ามีสรรพคุณด้านสุขภาพมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ รักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ต้านมะเร็ง หรือลดน้ำหนัก ทั้งยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับถั่วชนิดอื่น ๆ จึงเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่หากินง่ายและได้ประโยชน์ไปในตัว
4. ถั่วเหลือง 1 ถ้วย โปรตีน 28 กรัม
สำหรับถั่วเหลืองนั้นนับว่ามีคุณค่าทางอาหารสูงสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย รวมทั้งมะเร็งหลายชนิด มักนิยมนำมาบดคั้นกรองเป็นน้ำนมถั่วเหลืองรับประทาน หรือทำเป็นเต้าหู้ ซึ่งเป็นแหล่งของไขมันและโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ แต่ทั้งนี้ ไม่ควรดื่มมากเกินพอดีเพราะมีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมขึ้นได้
5. ถั่วแดง 1 ถ้วย โปรตีน 15 กรัม
ถั่วแดง ที่เรามักกินคู่กับของหวานต่าง ๆ นั้น นอกจากจะอร่อยและมีสีแดงสวยแล้ว ยังมีโปรตีนที่เป็นประโยชน์และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษา ถั่วแดงถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทได้ด้วย
6.เมล็ดทานตะวัน 100กรัม โปรตีน 19 กรัม
หากคุณเป็นคนที่กำลังทานเจ หรือท่านที่ไม่ทานเจแต่กินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่น้อย ลองหันมากินเมล็ดทานตะวันเเทนก็ได้ เพราะในเมล็ดทานตะวันมีปริมาณโปรตีนที่ค่อนข้างสูง ถึงเเม้ว่าจะไม่สูงมากเมื่อเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ หรือถั่วเหลือง เเต่ก็สามารถกินทดเเทนได้บ้าง เพราะเมล็ดทานตะวันมีปริมาณโปรตีนสูงถึง 40% ของปริมาณโปรตีนที่เเนะนำต่อวันเลยทีเดียว (ปริมาณโปรตีนต่อวันคือ 100 กรัม ถ้า 40% ก็เท่ากับ 40 กรัม)
7.งา 1 ออนซ์ โปรตีน 6.5 กรัม
งาขาวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โดยข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า งาขาวมีปริมาณของแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า และมีมากกว่าผักหลายๆ ชนิดถึง 20 เท่า การกินงาเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงขึ้น
8.เมล็ดเจีย 1 ออนซ์ โปรตีน 4 กรัม
คุณประโยชน์ยอดนิยมข้อนี้ถูกกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลาย เพราะด้วยคุณสมบัติพองตัวออกเมื่อถูกแช่ในน้ำ ทำให้เชื่อว่าเมล็ดเจียที่รับประทานเข้าไปนั้นจะขยายตัวภายในท้อง จนรู้สึกอิ่มและรับประทานได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงในที่สุด อีกทั้งมีเส้นใยอาหารและกรดอัลฟาลีโนเลนิก (Alpha-linolenic) ที่คาดว่าอาจมีส่วนช่วยลดน้ำหนัก ไขมัน และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจากภาวะอ้วน
9.ผักโขม 1 ออนซ์ โปรตีน 5 กรัม
ผักโขม มีวิตามินซีมีมากช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยสร้างคอลลาเจน บำรุงผิวพรรณผุดผ่อง มีสารซาโปนิน ช่วยลดคอเลสเตอรอล และที่สำคัญมีไฟเบอร์ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันการเกิดมะเร็งในกระเพาะได้เป็นอย่างดี แคลเซียมในผักโขมมีมากพอที่จะช่วยบำรุงกระดูกของเราได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ใครอยากเสริมแคลเซียมให้ตัวเองก็สามารถกินผักโขมเสริมแคลเซียมได้
10.อะโวคาโด้ 1 ลูก มีโปรตีน 10 กรัม
อะโวคาโดมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ถึง 70% ซึ่งมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดแดง เพราะจะช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (Low Density Lipoprotein-LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
คนวัยทำงานที่ต้องใช้แรงกายแรงสมองในการทำงาน ควรรับประทานอะโวคาโดเป็นประจำ เพราะในอะโวคาโดมีกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ซึ่งมีผลดีและจำเป็นต่อระบบประสาทและสมอง โดยกรดไขมันชนิดนี้อาจช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมอง และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองได้ดีมากยิ่งขึ้น ในอะโวคาโดมีวิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เพราะในอะโวคาโดมีลูทีน (Lutien) เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่าสารสกัดอะโวคาโดอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ แต่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลองและมีข้อจำกัดค่อนข้างมากจึงไม่สามารถยืนยันสรรพคุณในข้อนี้ได้
]]>หลายท่านคงคิดกันว่า ลูกแพร์ กับ ลูกสาลี่ เป็นผลไม้สายพันธุ์เดี่ยวกัน เพราะ รสชาติ กับกลิ่นหอมของ ทั้ง 2 ผลไม้มีความใกล้เคียงกัน แต่ที่จริงแล้ว ลูกแพร์ เป็นผลไม้คนละสายพันธุ์กับ ลูกสาลี่ ค่ะ
ลักษณะของลูกแพร์ จัดเป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในยุโรป ผลจะใกล้เคียงกับแอปเปิ้ล แต่เปลือกบาง เมื่อผลสุกแล้วจะเนื้อนิ่มมากและฉ่ำน้ำ เนื้อไม่แข็งเท่าแอปเปิ้ล มีรสหวานอมเปรี้ยวและหวานหอม แพร์ที่นิยมรับประทานมากที่สุดคือ Williams pear หรือที่เรียกว่า Bartlett ในสหรัฐและแคนาดา
ลักษณะของลูกสาลี่ นั้นมีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันตกของประเทศจีน มีลักษณะคล้ายกับแอปเปิ้ลเช่นกัน มีหลายสี ตั้งแต่สีเหลือง เขียว สีแดงอมส้ม และสีน้ำตาล โดยเนื้อสาลี่จะมีลักษณะกรอบและฉ่ำน้ำ (แต่บางสายพันธุ์จะเป็นเนื้อทราย) มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อมีกลิ่นหอม มีเมล็ดขนาดเล็กลักษณะแบนรี สีดำหรือสีน้ำตาลออกดำ
สรรพคุณของลูกแพร์
ประโยชน์ของลูกแพร์
สรรพคุณของลูกสาลี่
ประโยชน์ของลูกสาลี่
สรุปได้ว่า ความแตกต่างของลูกแพร์และลูกสาลี่ นั้นแทบไม่ต่างกันเท่าไรนัก มีเพียงแค่ถิ่นกำเนิด และ รสสัมผัส เท่านั้น ส่วนคุณประโยชน์ นั้น มีมากพอๆ กัน ขอแนะนำ ให้รับประทานควบคู่กัน ได้เลย กรอบ อร่อย หอมหวาน มีประโยชน์เต็มๆเลยค่ะ
ที่มา medthai
]]>วิธีการประกอบและวิธีใช้งานเครื่องสกัดเย็น Kuvings รุ่น (E6000,E7000,EVO820,CS520,CS600,CS700) มี 2 หัวกรอง
1.ถ้วยกรองสีเหลือง สำหรับใช้แยกกากแยกน้ำ
2.ถ้วยสีใส สำหรับทำไอศครีม Sorbet
ใครที่กำลังสนใจเครื่องสกัดเย็น Kuvings
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : 099-1595500
สั่งซื้อได้ที่👇 FB : http://bit.ly/2H5tbye
Line: http://bit.ly/2N4Lbwi
Lazada : http://bit.ly/2TA2h6r
Shopee : http://bit.ly/302HpHk
Central : http://bit.ly/2JC0MRo
🚗จัดส่งฟรีทั่วประเทศ
]]>